อัชเชอร์ {อังกฤษ: Usher) หรือ ชื่อจริงว่า อัชเชอร์ เรย์มอนด์ ที่สี่ (อังกฤษ: Usher Raymond IV) เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน สไตล์อาร์แอนด์บี เจ้าของ 5 รางวัลแกรมมี่ ด้วยยอดขายอัลบั้ม 20.4 ล้านแผ่นในอเมริกาและ 35 ล้านแผ่นทั่วโลก
ประวัติ
ชื่อเกิด | อัชเชอร์ เรย์มอนด์ ที่สี่ (Usher Raymond IV) |
|
วันเกิด | 14 ตุลาคม ค.ศ. 1978 | |
แหล่งกำเนิด | แอตแลนต้า,จอร์เจีย,สหรัฐอเมริกา | |
แนวเพลง | อาร์แอนด์บี,ป็อป | |
อาชีพ | นักร้อง,นักแสดง,นักเต้น | |
ปี | พ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน | |
ค่าย | LaFace Records (1994–2000; 2004–ปัจจุบัน) Arista Records (2001–2004) |
หลังจากที่เรียนจบโรงเรียนมัธยมตอนปลาย ใน พ .ศ. 2540 อัชเชอร์ ได้ออกอัลบั้มที่สองที่มีชื่อว่า My Way อัลบั้มชุดนี้ประกอบไปด้วยเพลงทั้งหมด 9 เพลง โดย อัชเชอร์ได้ร่วมเขียนเพลงด้วยถึง 6 เพลง อัลบั้มนี้ได้โปรดิวเซอร์อย่าง "แฌรแมน ดูปรี" (Jermaine Dupri) "เบบี้เฟส" และโคมป์ซมาร่วมงาน ซิงเกิ้ลแรกในงานเพลงชุดนี้ "You Make Me Wanna" ซิงเกิ้ลนี้ได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในชาร์ทเพลงแนว อาร์แอนด์บี เป็นเวลาถึง 11 สัปดาห์ และอยู่ในอันดับ 2 ในชาร์ตเพลงแนว เพลงป็อป (Pop) ซิงเกิ้ลถัดมา "Nice & Slow" ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทซิงเกิ้ลในอเมริกาเป็นเวลา 2 อาทิตย์
ใน พ .ศ. 2541 อัชเชอร์ ได้มีผลงานการแสดงครั้งแรก ในภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ชื่อ The Faculty และนำแสดงในภาพยนตร์แนวชีวิตของนักเรียนมัธยมปลายในเมืองที่ชื่อ Light It Up และยังได้ร่วมแสดงในหนังเรื่อง She's All That ในขณะนั้นอัชเชอร์ได้ออกบันทึกคอนเสิร์ตที่ชื่อว่า "Simply Live"
ในปลายปี พ.ศ. 2542 เขาได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า 8701 มีซิงเกิ้ลแรกคือ "Pop Ya Collar" เดิมจะใช้ชื่ออัลบั้มว่า All About U แต่มีเพลงบางเพลงหลุดมาทางอินเทอร์เน็ต และไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีควร จึงได้กลับไปทำใหม่ จนเปลี่ยนชื่อมาเป็น “8701” มีความหมายคือช่วงเวลาในอาชีพของเขา [1987-2001] และวางขายในวัน 8/7/01 สองซิงเกิ้ลแรกขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาคือ "U Remind Me" และ "U Got It Bad"
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 อัชเชอร์ได้รับรางวัลแกรมมี่ ในสาขา 'Best Male R&B Vocal Performance' ในเพลง "U Remind Me" ปีถัดมาได้รับรางวัลเดียวกันจากเพลง "U Don't Have to Call" ต่อมาอัชเชอร์ได้ร่วมงานกับ P. Diddy ในเพลง "I Need a Girl, Part I"
ในช่วงต้นปี พ. ศ. 2547 ซิงเกิ้ลฮิตของอัชเชอร์ที่ชื่อ "Yeah!" ได้ออกสู่สาธารณชน ซิงเกิ้ลนี้ดังถล่มทลายในคลื่นวิทยุต่างๆ และกลายเป็นเพลงที่ได้รับการเปิดมากที่สุดแห่งปี ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกานานถึง 12 สัปดาห์ ตามมาด้วยอัลบั้มล่าสุดของเขา Confessions ได้ออกมาในเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน อัลบั้มชุดนี้ยังคงเป็นอัลบั้มที่มียอดขายดีที่สุดใน พ.ศ. 2547 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ขายได้ 1.1 ล้านแผ่นในสัปดาห์แรกที่วางขาย (ขายได้มากกว่า 20 ล้านแผ่นทั่วโลกสำหรับอัลบั้มนี้) ซิงเกิ้ลที่ 2 และ 3 "Burn" และ "Confessions Part II" ก็ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทซิงเกิ้ลในบิลบอร์ด และสร้างสถิติเป็น 1 ใน 3 ศิลปิน (ถัดจาก เดอะ บีทเทิ้ลส์ และ บีจีส์) ที่มีเพลง Top 10 ในสัปดาห์เดียวกันถึง 3 เพลง เดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ออกวางขายเพลง "My Boo" (อยู่ในอัลบั้ม Confessions แบบ Special Edition) ร้องคู่กับ อลิเชีย คียส์ ก็ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาทางฝั่งชาร์ทซิงเกิ้ลเช่นกัน
พ.ศ. 2548 อัชเชอร์ได้ร่วมร้องกับ Lil' John ในเพลง "Lovers and Friends" สามารถไต่ชาร์ทได้สูงสุดอันดับ 3
พ.ศ. 2549 อัชเชอร์ได้แสดงในละครบรอดเวย์เรื่อง Chicago ในบท Billy Flynn ได้รับเสียงวิจารณ์ในทางที่ดี และเขาได้กลับมาทำผลงานอัลบั้มใหม่ซึ่งคาดว่าจะออกกลางปี พ.ศ. 2550 โดยมีทีมอย่าง The Neptunes, Jermaine Dupri, Jimmy Jam & Terry Lewis, Rich Harrison, Dre & Vidal, Ryan Leslie, Dr. Dre และ Swizz Beatz
หลังจากห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงถึง 4 ปี อัชเชอร์กลับมาในปี พ.ศ. 2551 กับอัลบั้ม Here I Stand แต่โปรดิวเซอร์ของเขา Polow da Don แอบปล่อยซิงเกิ้ลแรก ‘Love In This Club’ มาก่อนซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีสามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ด และเป็นเหตุให้ต้องเลื่อนออกอัลบั้มเร็วขึ้นมาเป็นช่วงกลางปีแทน มิวสิกวิดีโอแรก ‘Love In This Club’ กำกับโดย Brothers Strause (Red Hot chili Peppers, Linkin Park, A Perfect Circle) ซึ่งเคยฝากผลงานไว้ในภาพยนตร์เรื่อง 300 ในส่วนของ animation ทั้งหมด และยังกำกับเพลง ‘Moving Mountains’ ซึ่งจะเป็นซิงเกิ้ลที่ 2 อีกด้วย[1]
พ.ศ. 2553 อัชเชอร์ ทำอัลบั้มในระยะเวลาที่เร็วขึ้น เพียง 2 ปี เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 อัลบั้ม Raymond v. Raymond ได้ลำดับที่ 1 US ด้วยยอดขาย 329,000 ในสัปดาห์แรก และมียอดขาย 1.3 ล้านก๊อปปี้ในสหรัฐ (2 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก) ซึ่งมีเพลง Papers และ There Goes My Baby ที่ได้ลำดับที่ 1 US R&B/Hip-Hop Chart ตามด้วย Hey Daddy (Daddy's Home) และ Lil Freak ได้ Nicki Minaj มาแจมด้วย หลังจากนั้นมีซิงเกิ้ลที่ได้ลำดับที่ 1 US Chart นั้นคือ OMG หรือ Oh My God ได้ will.i.am จาก The Black Eyed Peas มาโปรดิวเซอร์และเขียนเพลง และมียอดดาว์นโหลดถึง 7 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก หลังจากนั้น อัชเชอร์ได้ปล่อย EP ที่ชื่อว่า Versus ตามติดกัน หรือ Raymond v. Raymond (Deluxe edition) มีซิงเกิ้ลสุดเจ็งเอาใจสาวกแดนซ์อย่าง DJ Got Us Fallin' in Love ได้แร็ปเปอร์เชื้อสายลาตินอย่าง Pitbull มาแจม ได้โปรดิวเซอร์ป๊อปตลอดกาลอย่าง Max Martin (Backstreet Boys, Britney Spears, Pink และ Katy Perry) และประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และตามด้วย Hot Tottie ได้ Jay-Z มาแจม และ Polow da Don มาโปรดิวเซอร์ แถมด้วย Ester Dean มาร่วมเขียนเพลงนี้ด้วย และต่อด้วยซิ้งเกิ้ลพิเศษ นั้นคือ More ซึ่งความจริง RedOne โปรดิวแล้ว แต่ยังไม่สะใจพอ Jimmy Joker ขออาสารีมิกซ์เพลงนี้ และประสบความสำเร็จทั่วโลกในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2554 ในวันที่ 7 ตุลาคม 2554 RCA Music Group ประกาศยุบกิจการ Jive Records รวมไปถึง Arista Records และ J Records ทำให้ อัชเชอร์ รวมถึงศิลปินคนอื่นๆที่มีสัญญาใน 3 บริษัทนี้ ได้ถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ RCA Records ในเครือข่าย โซนี่ มิวสิก
อัชเชอร์ร่วมงานกับศิลปินอินเตอร์หลายคน เช่น Enrique Iglesias ในเพลง Dirty Dancer และอยู่ใน Versus (EP) ได้ RedOne มาโปรดิวเซอร์ ด้วย ตามด้วย หนุ่มลาติน อย่าง Romeo Santos ในเพลง Promise ได้ Rico Love มาโปรดิวเซอร์ และเพลงที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก ที่ทำให้เอาใจสาวกแดนซ์ทั่วโลกนั้นคือ Without You เป็นเพลงบรรเลงของ David Guetta และเขียนเพลงโดย Taio Cruz, Rico Love และเติมน้ำเสียงของอัชเชอร์ไปด้วย ทำให้เพลงนี้ทะลุหัวใจขาแดนซ์ทั่วโลกอย่างล้นหลาม
พ.ศ. 2555 อัชเชอร์ กับสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 7 ภายใต้การควบคุมของ RCA Records ในชื่อว่า Looking 4 Myself อัลบั้มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแนว Electronic เกือบทั้งอัลบั้ม และได้โปรดิวเซอร์มีโปรอย่าง Rico Love, Jim Jonsin, will.i.am, Salaam Remi, Pharrell, Danja, Empire of The Sun, Swedish House Mafia มาโปรดิวในอัลบัมนี้ได้ลำดับที่ 1 US ด้วยยอดขาย 128,000 ในสัปดาห์แรก ซึ่งยอดขายหายไปครึ่งต่อครึ่ง อย่างน่าตกใจมาก เนื่องจาก อัลบัม 21 ของ อะเดล ขายที่สุดในและทำได้ 22 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และ วงการเพลงที่ไม่มั่นคง เป็นสาเหตุที่ให้หลาย ๆ อัลบั้ม ยอดขายขาดไปเยอะมาก ทุกศิลปิน ตามติดกัน ซิงเกิ้ลเปิดตัวทั่วโลกคือ Climax ได้โปรดิวเซอร์อย่าง Diplo (M.I.A., Chris Brown) เป็นเพลงรูปแบบ R&B Quiet storm ผสมผสานกับดนตรี Electronic อย่างลงตัว สามารถทำเนื้อร้องเพลงของอัชเชอร์ ที่เขียนร่วมกับ Ariel Rechtshaid, Redd Stylez บวกกับดนตรีของ Diplo เองผสมผสานเป็นเรื่องราวได้ และขึ้นลำดับที่ 1 US R&B/Hip-Hop Chart หลังจากนั้นปล่อยซิ้งเกิ้ลที่ 2 ในแนวแดนซ์ คือ Scream ที่ได้ Max Martin มาโปรดิวเซอร์ให้และประสบความสำเร็จทั่วโลก และตามติดด้วยซิงเกิ้ลที่ 3 Lemme See ได้รับความไว้วางใจ Jim Jonsin มาโปรดิวให้ หลังจากเพลง There Goes My Baby ที่ได้ลำดับที่ 1 US R&B/Hip-Hop Chart และมีแร็พเปอร์สุดฮอต จากค่าย Def Jam อย่าง Rick Ross (ค่าย Maybach Music Group) แร็พเปอร์ที่ให้ DJ Khaled ประสบความสำเร็จ และตัว Rick Ross ไปแจมร่วมกับ R&B แถวหน้าอย่าง Monica, T-Pain, Keri Hilson, Estelle, Jennifer Hudson, Ne-Yo, Mary J. Blige, Omarion และส่วนของอัชเชอร์ก็เคยร่วมงานในเพลง Fed Up (DJ Khaled) และ Looking for Love ที่เขียนให้ ฌอน คอมบ์ส (Diddy) และ Rick Ross ขอร่วมงานกับ อัชเชอร์เอง ในซิงเกิ้ลอย่างเป็นทางการชื่อว่า Touch'N You ได้ Rico Love มาโปรดิวเซอร์ ในอัลบัม God Forgives, I Don't ตามลำดับ
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น