วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์

 
สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์
Koningin Beatrix in Vries.jpg
พระบรมนามาภิไธย เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ด
พระปรมาภิไธย สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริซแห่งเนเธอร์แลนด์
พระอิสริยยศ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์
ราชวงศ์ เนเธอร์แลนด์
ครองราชย์ 30 เมษายน พ.ศ. 2523
รัชกาลก่อนหน้า สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์
ข้อมูลส่วนพระองค์
พระราชสมภพ 31 มกราคม พ.ศ. 2481 (75 ปี)
พระราชบิดา เจ้าฟ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งเนเธอร์แลนด์
พระราชมารดา สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์
พระราชสวามี เจ้าฟ้าชายคลอสแห่งเนเธอร์แลนด์


สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ (Beatrix of the Netherlands; พระนามแบบเต็ม เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ด เจ้าหญิงแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์; พระราชสมภพ 31 มกราคม พ.ศ. 2481) เสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523

ชีวิตในวัยเยาว์

สมเด็จพระราชินีนาถเบียร์ทริกซ์เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์และเจ้าฟ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าชายแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ โดยทรงมีพ่อและแม่ทูนหัว คือ สมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโพลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม ดยุคอดอล์ฟแห่งแม็คแลนด์เบิร์ก-เชวเวอร์ริน (พระอนุชาในเจ้าฟ้าชายเฮนริก พระอัยกาในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ) เจ้าหญิงอลิซ เคาน์เตสแห่งแอธโลน และเอเลน เคาน์เตสแห่งคอทเซบู
เบียร์ทริกซ์มีพระกนิษฐาดังนี้
  1. เจ้าฟ้าหญิงไอรีน
  2. เจ้าฟ้าหญิงมากาเรียต
  3. เจ้าฟ้าหญิงคริสติน่า

ทรงอภิเษกสมรส

ในปี พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) สมเด็จพระราชินีนาถเบียร์ทริกซ์ทรงพบกับนายคลอส ในงานฉลองอภิเษกสมรสของเจ้าชายทัทจาน่าและเจ้าหญิงมอริต และอภิเษกสมรสกันใน 2 ปีถัดมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม
ทั้งสองมีพระราชโอรส 3 พระองค์
  1. เจ้าฟ้าชายวิลเล็ม อเล็กซานเดอร์ เจ้าชายแห่งออเรนจ์ พระรัชทายาท
  2. เจ้าฟ้าชายฟรีโซ
  3. เจ้าฟ้าชายคอนสแตนติน

การครองราชย์

ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์ พระมารดา ทรงสละราชสมบัติ เจ้าฟ้าหญิงเบียร์ทริกซ์ได้ทรงสืบราชบัลลังก์เป็น สมเด็จพระราชินีนาถเบียร์ทริกซ์ แห่งเนเธอร์แลนด์ พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจมากกว่าพระมหากษัตริย์อื่น ๆ ในประเทศแถบยุโรป และมีพระราชดำรัสแนะนำแนวทางเกี่ยวกับการเมืองเสมอ ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งประเทศอีกด้วย
วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เจ้าฟ้าชายคลอส วอน อัมสเบิร์ก พระราชสวามีเสด็จสวรรคต หลังจากทรงพระประชวรมาช้านาน 1 ปีครึ่งถัดมา สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาเสด็จสวรรคต และพระราชบิดา เจ้าฟ้าชายเบอร์นาด พระราชบิดาสวรรคตเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 ในปีถัดมา ทรงประกอบพิธีรัชดาภิเษก (ทรงครองราชย์ครบ 25 ปี) ระหว่างวันที่ 19 - 30 เมษายน พ.ศ. 2548

สละราชสมบัติ

ในประกาศที่แพร่ภาพทางสื่อประจำชาติเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงประกาศว่าพระองค์จะสละราชสมบัติในวันที่ 30 เมษายน (วันพระราชินี) ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติครบ 33 ปีพอดี พระองค์ตรัสว่า ถึงเวลาแล้วที่จะ "ฝากความรับผิดชอบของประเทศไว้ในมือของคนรุ่นใหม่"[1] รัชทายาทของพระองค์ คือ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ พระราชโอรสองค์โต[2] พระองค์จะเป็นพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์พระองค์ที่สามติดต่อกันที่สละราชสมบัติ ตามพระอัยยิกาและพระราชชนนี[2] หลังการแพร่สัญญาณดังกล่าว นายกรัฐมนตรี มาร์ค รูทท์ ได้มีถ้อยแถลงตามมา โดยกล่าวถึงสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ว่า "นับแต่พิธีราชาภิเษกของพระองค์ใน พ.ศ. 2523 พระองค์ทรงมอบหัวใจและวิญญาณให้แก่สังคมดัตช์"[1]
การสละราชสมบัติของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์และพิธีสถาปนาเจ้าชาย แห่งออเรนจ์จะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงพระปรมาภิไธยในตราสารสละราชสมบัติที่พระบรมมหาราช วัง กรุงอัมสเตอร์ดัม ส่วนพิธีสถาปนาพระมหากษัตริย์องค์ใหม่จะมีขึ้นที่โบสถ์ใหม่ (Nieuwe Kerk) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม[3]

พระอิสริยยศ

  • พ.ศ. 2481 - พ.ศ. 2523: เจ้าฟ้าหญิงเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์, เจ้าหญิงแห่งออเร้นจ์-นัสเซา,เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ (Her Royal Highness Princess Beatrix of the Netherlands, Princess of Orange-Nassau, Princess of Lippe-Biesterfeld)
  • พ.ศ. 2523 - ปัจจุบัน: สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์, เจ้าหญิงแห่งออเร้นจ์-นัสเซา,เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ (Her Majesty Queen of the Netherlands, Princess of Orange-Nassau, Princess of Lippe-Biesterfeld)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์


Louis Pasteur

หลุยส์ ปาสเตอร์ : Louis Pasteur
 
กิด        วันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1822 ที่เมืองโดล (Dole) มลรัฐจูรา (Jura) ประเทศฝรั่งเศส (France)
เสียชีวิต วันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1895 ประเทศฝรั่งเศส (France)
ผลงาน   - ค้นพบวัคซีนป้องกันพิษสุนัขป่า
             - ค้นพบว่า จุลินทรีย์เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเน่าเสีย
             - ค้นพบวิธีการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์โดยการนำมาต้มหรือเรียกว่า พาลเจอร์ไรเซชัน(Pasteurization)


          ปาสเตอร์เป็นนักเคมีผู้ยิ่งใหญ่ชาวฝรั่งเศส ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา และคุณประโยชน์อย่างมากให้กับศาธารณชน
คือ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า แม้ว่าโรคนี้จะไม่ได้เป็นโรคระบาดที่รุนแรง แต่ก็สามารถคร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมากเช่นกัน
นอกจากนี้เขายังค้นพบวัคซีนอีกหลายชนิด ได้แก่ อหิวาตกโรค วัณโรค และโรคคอตีบ ผลงานของเขาที่สร้างคุณประโยชน์อย่าง
มากอีกชิ้นหนึ่ง คือ การค้นพบวิธีการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์แบบพาสเจอร์ไรต์ ในปัจจุบันวิธีการนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดเพราะสามารถเก็บ
รักษาอาหารได้นานและปลอดภัยมากที่สุด

          ปาสเตอร์เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1822 ที่เมืองโดล มลรัฐจูรา ประเทศฝรั่งเศส บิดาของเขาเป็นช่างฟอกหนังชื่อว่า
จีน โจเซฟ ปาสเตอร์ (Jean Joseph Pasteur) และเคยเป็นทหารในกองทัพของพระเจ้านโปเลียนมหาราช และได้รับเหรียญ
กล้าหาญจากสงครามด้วย ต่อมาครอบครัวของปาสเตอร์ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอาร์บัวส์ (Arbors) แม้ว่าฐานะครอบครัวของเขาจะมี
ฐานะไม่ดีนัก แต่บิดาก็ต้องการให้หลุยส์มีความรู้ที่ดี การศึกษาขั้นแรกของปาสเตอร์เริ่มต้นที่โรงเรียนประจำจังหวัดอาร์บัวส์
ซึ่งวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่เขาเรียนได้ดีที่สุด นอกจากนี้เขามีความสามารถในการวาดรูปอีกด้วย โดยเฉพาะภาพเหมือน
(Portrait) เขามีความชำนาญมากที่สุดรูปเหมือนที่ปาสเตอร์ได้วาด เช่น ภาพบิดา มารดา และเพื่อน ๆ ของเขา เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน
ภาพเหล่านี้ได้ถูกแขวนประดับไว้ในสถาบันปาสเตอร์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (The Pasteur Institute in Paris)
ด้วยความที่ปาสเตอร์เป็นนักเรียนที่เรียนดี มีความสามารถ และความประพฤติเรียบร้อย จึงได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ใหญ่
ของวิทยาลัยอาร์บัวส์ให้ไปเรียนที่อีโคล นอร์เมลซูพีเรีย (Ecole Normale Superiere) ซึ่งเป็นสถาบันฝึกหัดครูชั้นสูงที่มี
ชื่อเสียงมากที่สุดในกรุงปารีสด้วยอาจารย์ใหญ่ต้องการให้เขากลับมาเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยอาร์บัวส์นั่นเอง แต่ปาสเตอร์เรียนอยู่ที่นี่
ได้ไม่นาน บิดาก็ต้องมารับกลับบ้าน ด้วยเขาป่วยเป็นโรคคิดถึงบ้าน (Home Sick) อย่างรุนแรง ซึ่งอาจจะถึงขั้นเป็นโรคประสาท
ได้ในเวลาต่อมา

         ต่อมาเขาได้เข้าเรียนต่อวิชาอักษรศาสตร์ ที่รอยับลคอลเลจ (Royal College) ในเบซานกอน (Besancon) หลังจาก
จบการศึกษาแล้ว ปาสเตอร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ต่อจากนรั้นปาสเตอร์ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่สถาบันฝึกหัดครูชั้นสูง
Ecole Normale Superiere อย่างที่เขาตั้งใจในครั้งแรก ในระหว่างที่เขาศึกษาอยู่ที่นี่เขามีโอกาสได้เรียนวิชาเคมีกับนักเคมี
ผู้มีชื่อเสียง 2 ท่าน คือ เจ.บี. ดีมาส์ (J.B. Dumas) และ เอ.เจ. บาลาร์ด ซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ (Sorbonne
University) เนื่องจากมีบางวิชาที่ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ในช่วงปีสุดท้ายของการศึกษาที่ อีโคล นอร์เมล ซูพเรีย
เขาได้ทำการทดลองเกี่ยวกับผลึก (Crystallography) ในปี ค.ศ. 1852 เมื่อปาสเตอร์จบการศึกษาแล้ว เขาได้ทำการทดลอง
เกี่ยวกับกรดทาร์ทาริก หรือกรดปูนที่ใช้ทำน้ำส้ม (Tartaric acid) จากผลงานการทดลองชิ้นนี้ในปี ค.ศ. 1849 เขาได้รับเชิญ
จากมหาวิทยาลัยสตราส์เบิร์ก (Strasburg University) ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์สอนวิชาเคมี

         ต่อจากนั้นในปี ค.ศ. 1854 ปาสเตอร์ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยแห่งเมืองลิลล์ (University of Lille) ให้ดำรงตำแหน่ง
ศาสตราจารย์วิชาเคมีและคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เมืองลิลล์เป็นเมืองอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีทั้งเหล้า
เบียร์ และไวน์ และครั้งหนึ่งปาสเตอร์ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมโรงงานทำแอลกอฮอล์จากน้ำตาลหัวผักกาดแห่งหนึ่ง ทำให้เขารู้ปัญหา
ของโรงงานที่ว่าเกิดการเน่าเสียของแอลกอฮอล์ และยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ ดังนั้นปาสเตอร์จึงนำตัวอย่างแอลกอฮอล์ไปตรวจสอบ
ในขณะนั้นมีนักวิทยาศาสต์ท่านหนึ่งสามารถประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ได้สำเร็จ เขาจึงนำกล้องจุลทรรศน์มาใช้ในการตรวจสอบ
ครั้งนี้ด้วย โดยในส่วนแรกเป็นแอลกอฮอล์ที่ดีเมื่องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูปรากฏว่า มีแบคทีเรียชนิดหนึ่งลำตัวกลมมีชื่อว่า ยีสต์
(Yeast) ซึ่งมีฤทธิ์เปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นแอลกอฮอล์และได้พบแบคทีเรียอีกชนิดหนึ่งมีรูปร่างเป็นท่อน ๆ แบคทีเรียชนิดนี้มี
ชื่อว่า บาซิลลัส (Bacillus) ซึ่งมีฤทธิ์สามารถเปลี่ยนน้ำตาลแดงให้เป็นกรดแลคติกได้ หรือเป็นตัวการที่ทำให้แอลกอฮอล์มีคุณภาพ
ต่ำ จากการค้นพบครั้งนี้ทำให้ปาสเตอร์เริ่มทำการทดลองเกี่ยวกับของหมักดอง ในที่สุดปาสเตอร์ได้พบว่า การหมักดองทำให้เกิด
กรดขึ้น 2 ชนิด ได้แก่ กรดซักซินิก (Succinic acid) และกลีเซอร์ไรน์ (Glycerin) การค้บพบครั้งนี้มีประโยชน์อย่างมากใน
วงการอุตสาหกรรมและเป็นการบุกเบิกการค้นคว้าหาสารเคมีชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ปาสเตอร์ได้ตั้งทฤษฎีการหมักดอง
(Fermentation Theory) กล่าวว่า การหมักดองเป็นผลมาจากจุลินทรีย์


         เมื่อเขาค้นพบว่าจุลินทรีย์ทำให้เกิดผลเสียมากมาย ปาสเตอร์จึงทำการค้นคว้าเกี่ยวกับจุลินทรีย์ต่อไป และพบว่า จุลินทรีย์
ที่มีอยู่ทั่วไปในอากาศทำให้เกิดความเจ็บป่วย และอาหารรวมถึงนมเน่าเสียได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นวิธีการเก็บรักษาของให้อยู่ได้
นาน ๆ ก็คือ ต้องฆ่าจุลินทรีย์เหล่านี้ให้หมดไป ปาสเตอร์ได้ทดลองฆ่าเชื่อจุลินทรีย์ โดยการนำนมมาต้มในความร้อน 145 องศา
ฟาเรนไฮต์ ทำให้เย็นลงโดยเร็วที่สุด ภายใน ? ชั่วโมง เพื่อให้จุลินทรีย์ตายหมด ก่อนนำไปบรรจุใส่ขวด จากนั้นใช้สำลีอุดปากขวด
ให้แน่นป้องกันไม่ใช้เชื้อจุลินทรีย์เข้าได้ ผลปรากฎว่านมสดอยู่ได้นานกว่าปกติ โดยที่ไม่เน่าเสีย จากนั้นปาสเตอร์ได้นำวิธีการดังกล่าว
ไปใช้กับเครื่องดื่มชนิดอื่น เช่น เหล้า เบียร์ น้ำกลั่น และไวน์ เป็นต้น วิธีการนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ พาสเจอร์ไรเซชัน
(Pasteurization) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันนี้ จากการค้นคว้าทดลองครั้งนี้ปาสเตอร์
ยังพบวิธีการทำน้ำส้มสายชูโดยใช้จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดเหล้าองุ่นมาเพาะ แล้วเติมลงไปในเหล่าองุ่นที่ผ่านวิธีพาสเจอร์ไรต์แล้ว
ด้วยวิธีการนี้จะได้น้ำส้มสายชูที่มีคุณภาพดี

         การค้นคว้าเรื่องจุลินทรีย์ของปาสเตอร์ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้ ในปี ค.ศ. 1865 เขาพบถึงสาเหตุของเซลล์ที่ตายแล้วเน่าเปื่อย
ก็เป็นผลมาจากเชื้อจุลินทรีย์เช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงทำการทดลองต่อไป ด้วยปาสเตอร์กลัวว่าเมื่อฝังศพทั่งของสัตว์ และมนุษย์ลง
ในดินแล้ว ทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นลงไปอยู่ในดินได้และอาจจะปนเปื้อนไปกับน้ำบาดาล เมื่อคนนำน้ำบาดาลไปดื่มโดยที่ไม่ต้องต้ม
ฆ่าเชื่อก่อน อาจจะทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ เมื่อการค้นคว้าของปาสเตอร์จบสิ้นลงผลปรากฏว่าเป็นดังเช่นที่ปาสเตอร์กล่าว ไว ้คือ
มีจุลินทรีย์บางชนิดสามารถอยู่ในดินได้จริง เช่น เชื้อบาดทะยัก และแอนแทรกซ์ เป็นต้น

         ต่อมาเขาได้ทดลองเกี่ยวกับโรคระบาดที่ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับตัวไหม ซึ่งทำความเสียหายอย่างหนักให้กับโรงงานอุตสาหกรรม
ผ้าไหม เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมได้มาขอความช่วยเหลือจากปาสเตอร์ เขาได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อยู่นางถึง 5 ปี จึงพบว่าโรคนี้เกิดขึ้น
จากเชื้อจุลินทรีย์ชื่อว่า โนสิมา บอมบายซิล (Nosema Bombysis) ซึ่งตัวหนอนกินเข้าไป ดังนั้นปาสเตอร์จึงอธิบายวิธีการป้องกัน
โรคนี้ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมฟังอย่างละเอียด ซึ่งสามารถป้องกันโรคนี้ได้เป็นอย่างดี จากผลงานทาวิทยาศาสตร์วิชาเคมี
ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ (Sorbonne University) และในปีเดียวกันนี้เขาได้เผยแพร่ผลงานการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องการ หมักดองออกมาอีกเล่มหนึ่งจากความสามารถของปาสเตอร์ ในปี ค.ศ. 1873 เขาได้เชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคม
อะเคดามี ออฟ เมดิซีน (Academy of Medicine)

         ในปี ค.ศ. 1887 ปาสเตอร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับโรคระบาดในสัตว์ โดยเริ่มจากโรคที่ร้ายแรงที่สุด คือ โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) ปาสเตอร์ใช้ปัสสาวะของสัตว์ที่ป่ายเป็นโรคแอนแทรกซ์มาเพาะเชื้อให้อ่อนกำลังลง แล้วไปทำวัคซีน การที่เขานำ
ปัสสาวะของสัตว์มาทำวัคซีนทำให้คนทั่วไปไม่เชื่อถือในวัคซีนของเขา ปาสเตอร์ต้องการให้สาธารณชนประจักษ์แก่สายตาจึงทำ
การทดลอง ปาสเตอร์ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมเกษตร (Agriculture Society) มอบแกะในการทดสอบวัคซีนถึง 50 ตัว
ปาสเตอร์แบ่งแกะออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 25 ตัว กลุ่มหนึ่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ฉีด จากนั้นจึงฉีด
เชื้อโรคแอนแทรกซ์ให้กับแกะทั้งหมด ผลปรากฏว่าแกะกลุ่มที่ฉีดวัคซีนไม่ป่วยเป็นโรคแอนแทรกซ์เลย แต่แก่กลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
ป่วยและเสียชีวิตหมดทุกตัว

          จากผลงานการค้นคว้าชิ้นนี้ ทางรัฐบาลประเทศฝรั่งเศสได้ขอร้องและมอบเงินสนับสนุนให้กับปาสเตอร์ในการค้นคว้าหา
วัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรคในไก่ ปาสเตอร์ทำการทดลองค้นคว้าและสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรคในไก่ได้สำเร็จ
โดยเขาผลิตวัคซีนชนิดนี้ได้จากซุปกระดูกไก่ ปาสเตอร์ได้นำวัคซีนชนิดนี้ได้จากซุปกระดูกไก่ ปาสเตอร์ได้นำวัคซีนฉีดให้กับไก่
ปรากฏว่าไก่ที่ป่วยมีอาการดีขึ้นและหายไปในที่สุด

         
การค้นพบวัคซีนที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุด คือ วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าน แม้ว่าจะไม่ใช่โรคระบาดที่ร้ายแรงแต่ก็
สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนได้มากเพราะเมื่อผู้ใดที่ถูกสุนัขบ้ากัดแล้วต้องเสียชีวิตทุกรายไป สัตว์ที่ป่วยด้วยโรคนี้ก็ต้องตายโดย
ไม่มีวิธีรักษาหรือป้องกัน จากการค้นคว้าปาสเตอร์พบว่าเชื้อสุนัขบ้าอยู่ในน้ำลาย ดังนั้นเมื่อถูกน้ำลายของสุนัขที่มีเชื้อโรคอยู่ไม่ว่าจะ
ทางใด เช่น ถูกเลียบริเวณที่เป็นแผล หรือถูกกัด เป็นต้น เชื้อโรคในน้ำลายก็จะซึมเาไปทางแผลสู่ร่างกายได้ ปาสเตอร์ได้นำเชื้อ
มาเพาะวัคซีน และนำไปทดลองกับสัตว์ ปรากฏว่าได้ผลเป็นอย่างดี แต่ปาสเตอร์ไม่กล้านำมาทดลองกับคน จนกระทั่งวันหนึ่งโจเวฟ
เมสเตร์ เด็กชายวัย 9 ปี ถูกสุนัขบ้ากัด ถึงอย่างไรก็ต้องเสียชีวิต ดังนั้นพ่อแม่ของเด็กจึงได้นำบุตรชายมาให้ปาสเตอร์รักษาซึ่งเป็น
โอกาสดีที่ปาสเตอร์จะได้ทดลองยา ปรากฏว่าเด็กน้อยไม่ป่วยเป็นโรคสุนัขบ้าน การค้นพบครั้งนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น

         ในปี ค.ศ. 1888 ปาสเตอร์ได้ก่อตั้งสถาบันปาสเตอร์ (Pasteur Institute) ขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นสถาบัน
ปาสเตอร์ก็ได้ก่อตั้งขึ้นอีกหลายแห่ง ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยด้วย โดยในประเทศไทยใช้ชื่อว่า สถานเสาวภา
สถาบันปาสเตอร์ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ทดลองค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคติดต่อชนิดต่าง ๆ เช่นโรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น
ปาสเตอร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1895







ที่มาhttp://siweb.dss.go.th/Scientist/Scientist/Louis%20Pasteur.html

ปัญญา นิรันดร์กุล

 
ปัญญา นิรันดร์กุล

 

 

ปัญญา นิรันดร์กุล
Panya nirunkool1.jpg
งานคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ
ชื่อเกิด ปัญญา นิรันดร์กุล
ชื่อเล่น เปียง
เกิด 24 มีนาคม พ.ศ. 2497 (58 ปี)
ประเทศไทย ประเทศไทย
ชื่ออื่น เสี่ยตา
อาชีพ นักแสดง, พิธีกร, สถาปนิก

 

 

 

 

ประวัติ

ปัญญา นิรันดร์กุล มีชื่อเล่นว่า “ตา” (ชื่อเล่นเดิมคือ “เปียง”) เกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2497 ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน มารดาชื่อ นางอำพัน นิรันดร์กุล แม่ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2546[1] ปัญญาได้รับพระราชทานปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2520
ปัญญาสมรสกับ นางวาสนา นิรันดร์กุล[2] มีบุตร-ธิดารวม 4 คน คือ น้ำตาล-ปานวาด (เกิด: พ.ศ. 2527) , น้ำหอม-ปานตา (เกิด พ.ศ. 2530) , น้ำทอง-ปานฝัน (เกิด: พ.ศ. 2531) และ น้ำมนต์-ปรวัธน์ (เกิด: พ.ศ. 2537) [1][2]
ปัจจุบัน ปัญญามีบ้านพักอยู่ภายในหมู่บ้านเมืองเอก ย่านรังสิต ใกล้กับ เวิร์คพอยท์สตูดิโอ ที่ทำการใหม่ของ บมจ.เวิร์คพอยท์ฯ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสตูดิโอถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์

เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรก ด้วยการแสดงภาพยนตร์ไทย เรื่องแรกคือ สืบยัดไส้ ในปี พ.ศ. 2521 ในบทบาทนักแสดงประกอบ และต่อมาในปีเดียวกัน ปัญญาจึงได้แสดงละครในบทพระเอกเป็นเรื่องแรกคือ ศรีธนญชัย ทางไทยทีวีสีช่อง 3 จากการชักชวนของภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ และยังได้รับโอกาสแสดงบทพระเอกในภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์อีกหลายเรื่อง โดยมีชื่อเสียงคู่กับอรพรรณ พานทอง และเพ็ญพิสุทธิ์ คงสมุทร

รายการโทรทัศน์

ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ปัญญาร่วมเป็นสมาชิกยุคบุคเบิกของรายการเพชฌฆาตความเครียด ทางไทยทีวีสีช่อง 9 โดยใช้ชื่อว่า ซูโม่ตา มีบทบาทซึ่งสร้างชื่อเสียงเป็นที่จดจำของผู้ชมคือ การแสดงเป็นพิธีกรรายการ ภาษาไทยคำละวัน ล้อเลียนรายการ ภาษาไทยวันละคำ ของอาจารย์กาญจนา นาคสกุล และต่อมาในปีเดียวกัน (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2532) ปัญญาเข้าร่วมเป็นพิธีกรรายการ พลิกล็อก (ในชื่อ คู่หูพลิกล็อก , พลิกล็อกเพชร และ พลิกล็อกเหนือเมฆ) , ยุทธการขยับเหงือก , มหัศจรรย์วันเสาร์ ของเจเอสแอลทาง ททบ.5 เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2532 ปัญญาลาออกจากทุกรายการของเจเอสแอล แล้วร่วมกับ จิก-ประภาส ชลศรานนท์ นักคิดนักเขียนที่มีผลงานมากมายทางด้านเพลง หนังสือ และโทรทัศน์ ก่อตั้ง บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (อังกฤษ: WorkPoint Entertainment Co., Ltd.) เพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ โดยรายการแรกของบริษัทคือ เวทีทอง ทางช่อง 7 สี ต่อมา ผลงานรายการ และละครของเวิร์คพอยท์ฯ ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังแก่บริษัทฯ อย่างมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2547 เวิร์คพอยท์ฯ ก็เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เอกลักษณ์ประจำตัว

เอกลักษณ์และลักษณะท่าทางประจำตัวของปัญญา คือ ในสมัยที่ยังทำรายการพลิกล็อกของบริษัท เจเอสแอลนั้นจะทำมือ Thumb up และ Thumb down และพูดว่า "มากกว่าหรือน้อยกว่าครับ" บวกกับความเป็นกันเองกับผู้เข้าแข่งขันจึงทำให้ปัญญาได้รับความนิยมอย่างสูง ต่อมาคือเอกลักษณ์ในรายการแฟนพันธุ์แท้คือยื่นมือที่กางนิ้วหัวแม่โป้งและ นิ้วชี้ออกไปข้างหน้า พร้อมทำปากไปด้วย ก่อนจะพูดประโยค “ถูกต้องนะคร้าบ” ด้วยเสียงดังและลากเสียงยาวนาน ส่วนมากจะใช้กับรายการเกมโชว์ควิซโชว์ที่ปัญญาเป็นพิธีกร ในการเฉลยคำถาม โดยรายการแรกที่ปัญญาใช้ประโยคนี้ คือรายการ แฟนพันธุ์แท้ ซึ่งถือว่าโด่งดังมาก จนกลายเป็นประโยคฮิตติดปาก จนผู้คนมักเลียนแบบไปใช้เล่นกับคนรอบข้าง ซึ่งในระยะแรก ประโยคนี้จะใช้เฉพาะในรายการแฟนพันธุ์แท้เท่านั้น แต่ต่อมา ปัญญาได้นำไปใช้ในรายการเกมโชว์ควิซโชว์อื่นๆ ที่ตนเป็นพิธีกรด้วย เอกลักษณ์อีกประการหนึ่งในการจัดรายการระยะหลังก็คือ การตะโกนพูดด้วยเสียงดัง เพื่อกระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้นให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการ เช่น รายการ ยกสยาม เป็นต้น

ผลงาน

รายการโทรทัศน์

รายการที่เป็นพิธีกรอยู่ในปัจจุบัน

รายการที่เคยเป็นพิธีกรและยุติการออกอากาศไปแล้ว

รายการที่เคยเป็นพิธีกร แต่ยังออกอากาศอยู่

ละครโทรทัศน์

ฯลฯ

ภาพยนตร์ไทย

โฆษณา

  • โตโยต้า ไฮลักซ์วีโก้
  • เครื่องดื่มตราช้าง ชุด หันหน้าเข้าหากัน (ร่วมกับ วิทวัส สุนทรวิเนตร)
  • แป้ง ตรางู เซ็นลุกซ์
  • แชมพู ตรางู เซ็นลุกซ์
  • ธนาคาร ออมสิน
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า ซิงเกอร์
  • ธนาเพลส ชุด 3 หนุ่ม น้องหนู (แสดงร่วมกับ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง, กฤตย์ อัทธเสรี)
  • สีทีโอเอ ซูเปอร์ชิลด์

รางวัล

  • รางวัลเมขลา ผู้แสดงประกอบชายดีเด่น จากละคร สมการวัย ปี 2532
  • รางวัลเมขลา ผู้แสดงประกอบชายดีเด่น จากละคร ตะวันชิงพลบ ปี 2534
  • รางวัลเมขลา ผู้แสดงประกอบชายดีเด่น จากละคร เจ้าสัวน้อย ปี 2543
  • รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ผู้ดำเนินรายการชายดีเด่น จากรายการ พลิกล็อกเพชร ปี 2530
  • รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดาราสนับสนุนชายดีเด่น จากละคร ตะวันชิงพลบ ปี 2534
  • รางวัล ASIAN TELEVISION AWARDS 2009 -Highly Commended พิธีกรยอดเยี่ยมประเภทบุคคล จากรายการ ยกสยาม
  • รางวัลเมขลา ครั้งที่ 24 สาขารางวัลผู้ดำเนินรายการชายดีเด่นเมขลามหานิยม จากรายการ SME ตีแตก ทางช่อง 5

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81